แผนภูมิแท่งเทียนคืออะไร และคุณอ่านมันอย่างไร?
แผนภูมิแท่งเทียนเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน แผนภูมิแท่งเทียนสามารถนำไปใช้ได้กับสินทรัพย์ที่สามารถเทรดได้หลากหลายประเภท และตราสารทางการเงินต่าง ๆ
แผนภูมิแท่งเทียนมีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว และได้ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจแนวโน้มของตลาดได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยให้พวกเขาตัดสินใจเทรดได้อย่างมีข้อมูล ปัจจุบันแผนภูมิแท่งเทียนเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การเทรดสมัยใหม่ในหมู่เทรดเดอร์มืออาชีพ ในบทความนี้เราจะไปสำรวจว่าแผนภูมิแท่งเทียนคืออะไร วิธีการอ่านมัน และทำไมมันถึงสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ นอกจากนี้เราจะสำรวจรูปแบบของแท่งเทียนที่พบได้บ่อย ความสำคัญของมัน และวิธีการที่สามารถนำมาใช้ร่วมกับเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ
รูปแบบของแท่งเทียนคืออะไร?
รูปแบบของแท่งเทียน (Candlestick Patterns) คือการแสดงผลกราฟิกที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาในสินทรัพย์ที่กำหนดในช่วงเวลาหนึ่งบนแผนภูมิแท่งเทียน แท่งเทียนแต่ละแท่งแสดงข้อมูลสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ราคาเปิด (Opening price), ราคาสูงสุด (High price), ราคาต่ำสุด (Low price), และราคาปิด (Closing price) ในช่วงเวลานั้น (เช่น หนึ่งวัน, หนึ่งชั่วโมง) ซึ่งเรียกว่าข้อมูล OHLC (Open, High, Low, Close) แท่งเทียนประกอบด้วย ตัวแท่ง (Body) และ เส้นยาว (Wicks หรือ Shadows) ที่ยื่นขึ้นไปข้างบนและลงมาด้านล่างตัวแท่ง
วิธีนี้ให้มุมมองที่ครอบคลุมกว่าในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเทียบกับแผนภูมิแบบเส้น (Line Chart) แบบดั้งเดิม
โครงสร้างพื้นฐานของแท่งเทียน
วิธีการอ่านแผนภูมิแท่งเทียน?
การอ่านแผนภูมิแท่งเทียนเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจแท่งเทียนแต่ละแท่งและรูปแบบต่าง ๆ ของมัน แท่งเทียนแต่ละแท่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดในช่วงเวลาหนึ่ง
การรู้วิธีอ่านแผนภูมิแท่งเทียนสามารถช่วยให้คุณสามารถระบุหรือทำนายการเคลื่อนไหวของตลาดได้ คุณสามารถอ่านแท่งเทียนได้โดยการดูที่ สี ตัวแท่ง และ เส้นยาว (Wick):
ตัวแท่ง (Body): ตัวแท่งของแท่งเทียนแสดงถึงช่วงระหว่างราคาเปิดและราคาปิด
เส้นยาว (Wick หรือ Shadow): เส้นที่ยื่นขึ้นไปและลงมาจากตัวแท่งเรียกว่า เส้นยาว (Wicks หรือ Shadows) เส้นยาวด้านบน (Upper Wick) แสดงถึงราคาสูงสุดในช่วงเวลานั้น ขณะที่เส้นยาวด้านล่าง (Lower Wick) แสดงถึงราคาต่ำสุด
แท่งเทียนที่มีเส้นยาวด้านบนยาวและเส้นยาวด้านล่างสั้น บ่งบอกว่า ผู้ซื้อ มีความเคลื่อนไหวอย่างมากในช่วงเวลานั้น ทำให้ราคาขึ้นสูงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ ผู้ขาย ครอบงำตลาดและดึงราคาลงจากจุดสูงสุด ส่งผลให้ตลาดปิดต่ำกว่าราคาสูงสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นใน เส้นยาวด้านบนที่ยาว
แท่งเทียนที่มีเส้นยาวด้านล่างยาวและเส้นยาวด้านบนสั้น บ่งบอกว่า ผู้ขาย เริ่มต้นดึงราคาลง แต่ ผู้ซื้อ เข้ามาในตลาดที่ราคาต่ำและทำให้ราคาฟื้นตัวขึ้น กิจกรรมการซื้อในช่วงนี้ทำให้ตลาดปิดสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นใน เส้นยาวด้านล่างที่ยาว
สี: สีของตัวแท่งเทียนช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุได้อย่างรวดเร็วว่า ราคาขึ้นหรือลงในช่วงเวลานั้น ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด ตัวแท่งจะมีสีเขียว (หรือขาว) แสดงถึงช่วงเวลาขาขึ้น (Bullish) ในทางตรงกันข้าม หากราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด ตัวแท่งจะมีสีแดง (หรือดำ) แสดงถึงช่วงเวลาขาลง (Bearish)
ความแตกต่างระหว่างแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish) และแท่งเทียนขาลง (Bearish)
แท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick) บ่งบอกว่าผู้ซื้อควบคุมตลาดในช่วงเวลานั้น (มักจะเป็นสีเขียวหรือขาว) โดยดันราคาให้สูงขึ้นและทำให้ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดในช่วงเวลานั้น ในทางกลับกัน, แท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick) แสดงว่าผู้ขายมีอิทธิพลเหนือการเคลื่อนไหวของตลาด (มักจะเป็นสีแดงหรือดำ) โดยทำให้ราคาลดลงและปิดต่ำกว่าราคาเปิด
ทำไมรูปแบบแท่งเทียนถึงสำคัญในการเทรด?
รูปแบบแท่งเทียนสามารถช่วยเทรดเดอร์ในการระบุการกลับตัวหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มตลาด โดยการวิเคราะห์รูปแบบเหล่านี้, เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับเวลาในการเปิดหรือปิดการเทรด รูปแบบแท่งเทียนมีหลากหลาย ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ที่มีค่าในการทำนายการเคลื่อนไหวของราคา
รูปแบบแท่งเทียนที่ควรรู้และวิธีการระบุแนวโน้มหรือการกลับตัวของตลาด
มีรูปแบบแท่งเทียนหลายแบบที่สามารถบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคต นี่คือลักษณะของรูปแบบบางประการที่ควรรู้:
1 - Doji: แท่งเทียน Doji ซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นเครื่องหมายบวก, กากบาท หรือกากบาทกลับ แสดงให้เห็นว่าราคาเปิดและราคาปิดในช่วงการเทรดนั้นแทบจะเหมือนกัน รูปแบบนี้มักบ่งบอกถึงความไม่แน่นอนในตลาดและอาจบ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจจะยังคงดำเนินต่อไป เส้นยาว (Shadows หรือ Wicks) ของแท่งเทียน Doji ให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาด
(จะกล่าวถึงในบทความที่ 2)
2 - Hammer และ Hanging Man: แท่งเทียน Hammer และ Hanging Man มีลักษณะเหมือนกันคือ ตัวแท่งสั้นและเส้นยาวด้านล่าง (Lower Shadow หรือ Wick) ที่ยาวอย่างน้อยสองเท่าของตัวแท่ง
Hammer: มักจะปรากฏที่จุดสิ้นสุดของการปรับตัวลง (Downtrend) ซึ่งแสดงถึง รูปแบบการกลับตัวขาขึ้น (Bullish Reversal) และบ่งบอกว่าตลาดกำลังพยายามหาจุดต่ำสุด เส้นยาวด้านล่างแสดงให้เห็นว่า ผู้ขาย ดันราคาลงในช่วงเวลานั้น แต่ ผู้ซื้อ สามารถดูดซับแรงกดดันนี้และดันราคากลับขึ้นมาใกล้หรือสูงกว่าราคาเปิด ซึ่งแสดงถึงแรงบวกที่อาจเกิดขึ้น เทรดเดอร์มักจะมองหาการเปิดราคาที่สูงขึ้นในช่วงการเทรดถัดไปเพื่อยืนยันว่า Hammer เป็นสัญญาณการกลับตัวขาขึ้น
Hanging Man: เป็นรูปแบบการกลับตัวขาลง (Bearish Reversal) ซึ่งมักจะปรากฏที่จุดสิ้นสุดของการขึ้น (Uptrend) และมีลักษณะเหมือนกับ Hammer แต่เกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของการขึ้น รูปแบบ Hanging Man จะมีความสำคัญเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นหลังจากการขึ้น (Uptrend) ซึ่งบ่งบอกว่าการขึ้นอาจสูญเสียโมเมนตัม เส้นยาวด้านล่าง แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันการขายเพิ่มขึ้นในช่วงนั้น แต่ ผู้ซื้อ สามารถดึงราคากลับขึ้นมาใกล้ระดับราคาเปิด อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้บ่งบอกว่าแรงขายอาจจะมีอิทธิพลในอนาคต เทรดเดอร์มักจะมองหาการเปิดราคาที่ต่ำลงในช่วงการเทรดถัดไปเพื่อยืนยันว่า Hanging Man เป็นสัญญาณการกลับตัวขาลง
3 - Shooting Star และ Inverted Hammer: รูปแบบนี้เป็นตรงข้ามกับรูปแบบ Hammer และประกอบด้วยแท่งเทียนเพียงหนึ่งแท่งที่ไม่มีหรือมีเส้นยาวด้านล่าง (Lower Shadow) น้อยมาก คุณลักษณะหลักของรูปแบบนี้คือ เส้นยาวด้านบน (Upper Shadow) ซึ่งยิ่งยาวมากเท่าไร รูปแบบก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ในลักษณะเดียวกับ Hammer เส้นยาวด้านบนควรยาวอย่างน้อยสองเท่าของตัวแท่ง
Shooting Star: แสดงให้เห็นว่า แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อาจจะใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ในระหว่างช่วงเวลา ผู้ซื้อ สามารถดันราคาขึ้นไปได้ แต่ ผู้ขาย กลับเข้ามาควบคุมตลาดได้จนราคากลับลงมาที่ใกล้ระดับราคาเปิด การเคลื่อนไหวของราคาเช่นนี้แสดงถึงการลดลงของแรงซื้อและการเพิ่มขึ้นของแรงขาย ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวลง Shooting Star เป็นรูปแบบการกลับตัวขาลง (Bearish Reversal)
Inverted Hammer: เป็นรูปแบบการกลับตัวขาขึ้น (Bullish Reversal) ซึ่งมักจะปรากฏที่จุดต่ำสุดของการปรับตัวลง (Downtrend) โดยมีตัวแท่งที่เล็กและอยู่ที่ปลายช่วงการเทรด พร้อมเส้นยาวด้านบน รูปแบบนี้คล้ายกับ Hammer แต่หันหัวลงด้านล่าง
ดังนั้น Shooting Star คือรูปแบบการกลับตัวขาลง และ Inverted Hammer คือรูปแบบการกลับตัวขาขึ้น
4 - รูปแบบการกลืน หรือ Engulfing Pattern (Bullish & Bearish): รูปแบบการกลืนขาขึ้นและขาลงประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่ง
Bullish Engulfing: รูปแบบ Bullish Engulfing เกิดขึ้นเมื่อแท่งเทียนขาลงขนาดเล็กถูกรูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่กลืนกิน ซึ่งแสดงถึงการกลับตัวขึ้นของราคา รูปแบบนี้บ่งบอกว่าผู้ซื้อเริ่มมีการควบคุมตลาดหลังจากที่มีแรงกดดันจากผู้ขาย
วิธีการระบุรูปแบบ Bullish Engulfing:
แท่งเทียนแรกต้องเป็นแท่งเทียนขาลง (มักจะเป็นสีแดงหรือดำ)
แท่งเทียนที่สองต้องเป็นแท่งเทียนขาขึ้น (มักจะเป็นสีเขียวหรือขาว)
ตัวแท่งของแท่งเทียนที่สองต้องครอบคลุมตัวแท่งของแท่งเทียนแรกทั้งหมด
รูปแบบ Bullish Engulfing นี้เป็นรูปแบบการกลับตัวที่มักใช้ในการระบุจุดต่ำสุดของตลาด เทรดเดอร์มักมองหารูปแบบนี้หลังจากการปรับตัวลง (Downtrend) เพราะมันแสดงให้เห็นว่า ผู้ซื้อ (Bulls) กำลังเริ่มควบคุมตลาด และอาจมีการเคลื่อนไหวขึ้นตามมา
รูปแบบ Bearish Engulfing เกิดขึ้นเมื่อแท่งเทียนขาขึ้นขนาดเล็กถูกรูปแบบแท่งเทียนขาลงขนาดใหญ่กลืนกิน ซึ่งแสดงถึงการกลับตัวขาลง รูปแบบนี้บ่งบอกว่าผู้ขายเริ่มมีการควบคุมตลาดหลังจากที่มีแรงซื้อในช่วงก่อนหน้านั้น
วิธีการระบุรูปแบบ Bearish Engulfing:
- แท่งเทียนแรกต้องเป็นแท่งเทียนขาขึ้น (มักจะเป็นสีเขียวหรือขาว)
- แท่งเทียนที่สองต้องเป็นแท่งเทียนขาลง (มักจะเป็นสีแดงหรือดำ)
- ตัวแท่งของแท่งเทียนที่สองต้องครอบคลุมตัวแท่งของแท่งเทียนแรกทั้งหมด
รูปแบบ Bearish Engulfing นี้เป็นรูปแบบการกลับตัวที่มักใช้ในการระบุจุดสูงสุดของตลาด เทรดเดอร์มักมองหารูปแบบนี้หลังจากการขึ้น (Uptrend) เพราะมันแสดงให้เห็นว่า ผู้ขาย (Bears) กำลังเริ่มควบคุมตลาด และอาจมีการเคลื่อนไหวลงตามมา
5 - Morning Star & Evening Star: รูปแบบแท่งเทียน Morning Star ประกอบด้วยแท่งเทียนสามแท่ง
วิธีการระบุรูปแบบแท่งเทียน Morning Star:
- แท่งเทียนแรกต้องเป็นแท่งเทียนขาลง (มักจะเป็นสีแดงหรือดำ)
- แท่งเทียนที่สามต้องเป็นแท่งเทียนขาขึ้น (มักจะเป็นสีเขียวหรือขาว)
- แท่งเทียนที่สองต้องมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับแท่งเทียนทั้งสองข้าง
- สีของแท่งเทียนที่สองส่วนใหญ่ไม่สำคัญ
- โดยปกติแล้ว ตัวแท่งเทียนที่สอง ควรไม่ทับซ้อนกับตัวแท่งเทียนของแท่งเทียนทั้งสองข้าง
รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นสามแท่งนี้เป็นสัญญาณการกลับตัวที่ใช้ในการระบุจุดต่ำสุดของตลาด มักจะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อพบหลังจากการปรับตัวลง (Downtrend) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อเริ่มมีการควบคุมตลาด เมื่อรูปแบบแท่งเทียน Morning Star เกิดขึ้นในจุดที่เหมาะสม จะสามารถบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของการปรับตัวลงและการเริ่มต้นของการขึ้นใหม่ (Uptrend) หรือการสิ้นสุดของการถอยกลับในแนวโน้มขาขึ้นที่มีอยู่
Evening Star คือรูปแบบการกลับตัวขาลงที่ตรงข้ามกับ Morning Star รูปแบบนี้มักจะปรากฏที่จุดสูงสุดของการขึ้น (Uptrend) และเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการกลับตัวลง
เงื่อนไขทั้งสี่ที่ใช้ในการระบุรูปแบบ Morning Star ก็สามารถใช้ได้ในบริบทนี้เช่นกัน:
แท่งเทียนแรกควรเป็นแท่งเทียนขาขึ้นที่ยาวและปรากฏในช่วงท้ายของการขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
แท่งเทียนที่สองปรากฏที่จุดสูงสุดและแสดงถึงความไม่แน่ใจของตลาด โดยไม่ว่าจะแท่งเทียนจะเป็นสีเขียวหรือแดง
แท่งเทียนที่สามและสุดท้ายเป็นสัญญาณของการกลับตัว โดยแสดงให้เห็นว่า ผู้ซื้อ เริ่มสูญเสียการควบคุมการเคลื่อนไหวของราคา และอาจมีการปรับตัวลง (Downtrend) ตามมาในอนาคต
การระบุแนวโน้มโดยใช้รูปแบบแท่งเทียน
แนวโน้มสามารถระบุได้โดยการวิเคราะห์ชุดแท่งเทียนที่เกิดขึ้น โดย แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) มักจะมีลักษณะของการทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้นและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น ขณะที่ แนวโน้มขาลง (Downtrend) จะมีลักษณะของการทำจุดสูงสุดที่ต่ำลงและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง
รูปแบบแท่งเทียนสัมพันธ์กับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ อย่างไร?
รูปแบบแท่งเทียนมักจะถูกใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), เส้นแนวโน้ม (Trend Lines) และ การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) เพื่อยืนยันสัญญาณและเพิ่มความแม่นยำในการเทรด
รูปแบบแท่งเทียนสามารถใช้ได้กับการเทรดทุกรูปแบบหรือไม่?
ใช่, รูปแบบแท่งเทียนมีความยืดหยุ่นและสามารถใช้ได้ในหลากหลายประเภทของการเทรด เช่น หุ้น (Stocks), ฟอเร็กซ์ (Forex), สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) และ พันธบัตร (Bonds) อย่างไรก็ตาม คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrencies) มีข้อควรระวัง เนื่องจากเป็นตลาดที่ไม่ได้รับการควบคุมและเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้การระบุ ราคาเปิดและปิดประจำวัน (Daily Opens and Closes) เป็นเรื่องยาก ดังนั้นการใช้กราฟที่มีระยะเวลาเป็นรายชั่วโมง (Hourly) หรือช่วงเวลาสั้นๆ เช่น 1, 5, หรือ 30 นาที จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าโดยใช้เป็นตัวแทน (Proxy) โดยรวมแล้ว ความสามารถใช้งานทั่วไปของรูปแบบแท่งเทียนทำให้มันเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเทรดเดอร์
ข้อจำกัดของรูปแบบแท่งเทียน
แม้ว่ารูปแบบแท่งเทียนจะมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้ผลเสมอไป บางครั้งมันอาจให้สัญญาณเท็จ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวน จึงควรเทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องดีและระวังข้อมูลหรือประกาศที่อาจทำให้ราคาผันผวนได้ การใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับเครื่องมือการวิเคราะห์อื่นๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ควรพึ่งพาแค่รูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจเทรด
สามารถใช้รูปแบบแท่งเทียนในการเทรดระยะสั้น (Day Trading) ได้หรือไม่?
ได้แน่นอน รูปแบบแท่งเทียนเหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้น (Day Trading) ที่เทรดเดอร์ทำการซื้อขายหลายครั้งในหนึ่งวัน รูปแบบแท่งเทียนช่วยในการระบุแนวโน้มระยะสั้นและจุดเข้าซื้อและจุดออกขาย และสามารถใช้ได้ในกรอบเวลาที่สั้นมาก เช่น การดูกราฟแบบ 1 นาที หากคุณกำลังทำการเทรดระยะสั้น ควรระวังเวลาเปิดและปิดของตลาดเมื่อทำการเทรดในผลิตภัณฑ์ที่มีการซื้อขายในตลาด (Exchange-Traded Products)
กรอบเวลาที่ดีที่สุดในการใช้รูปแบบแท่งเทียนคืออะไร??
กรอบเวลาที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ เทรดเดอร์ระยะสั้น (Day Traders) อาจจะชอบใช้กรอบเวลาที่สั้น (เช่น กราฟ 1 นาที, 5 นาที) ขณะที่ เทรดเดอร์ระยะกลาง (Swing Traders) และ นักลงทุนระยะยาว (Long-term Investors) อาจจะใช้กรอบเวลาที่ยาวขึ้น (เช่น กราฟรายวัน, รายสัปดาห์)
วิธีการรวมรูปแบบแท่งเทียนกับการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) คืออะไร?
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับรูปแบบแท่งเทียนได้ ตัวอย่างเช่น รูปแบบ Bullish Engulfing ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงจะมีแนวโน้มที่จะบ่งบอกถึงการกลับตัวที่แท้จริงมากกว่ารูปแบบที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำ
ข้อสรุป
การเข้าใจกราฟแท่งเทียนและรูปแบบแท่งเทียนเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน กราฟเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวของตลาดและช่วยในการตัดสินใจเทรดอย่างมีข้อมูล คุณสามารถเริ่มใช้รูปแบบแท่งเทียนในกลยุทธ์การเทรดของคุณ และฝึกการตีความสัญญาณต่างๆ เช่น การใช้บัญชี ทดลองของ Pepperstone ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถใช้กราฟและทำการเทรดได้ในเวลาจริงโดยไม่ต้องเสี่ยงกับเงินทุนจริง หรือหากคุณรู้สึกมั่นใจในการใช้รูปแบบแท่งเทียนในการเทรดแล้ว คุณก็สามารถเปิดบัญชีจริงกับ Pepperstone ได้
อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดทำตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความเป็นอิสระของการวิจัยการลงทุน ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการสื่อสารทางการตลาด แม้ว่าจะไม่มีการห้ามทำธุรกรรมก่อนการเผยแพร่การวิจัยการลงทุน แต่เราจะไม่แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ก่อนที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าของเรา
Pepperstone ไม่รับประกันว่าข้อมูลที่นำเสนอมีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน หรือสมบูรณ์ครบถ้วน ดังนั้นจึงไม่ควรยึดถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ข้อมูลไม่ว่าจะมาจากบุคคลที่สามหรือไม่ ก็ควรไม่ถือเป็นคำแนะนำ หรือข้อเสนอในการซื้อหรือขาย หรือการชักชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือตราสารทางการเงินใด ๆ หรือเพื่อเข้าร่วมในกลยุทธ์การซื้อขายใด ๆ ข้อมูลนี้ไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ทางการเงินหรือวัตถุประสงค์การลงทุนของผู้อ่าน เราขอแนะนำให้ผู้อ่านข้อมูลนี้ตัดสินใจการลงทุนด้วยตนเอง ห้ามทำซ้ำหรือแจกจ่ายเนื้อหานี้หากไม่ได้รับอนุญาตจาก Pepperstone