ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ คำถามเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และความคลุมเครือเรื่องการลดดอกเบี้ย หุ้นสหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวในระดับสูง โดย Nasdaq เริ่มแสดงสัญญาณลังเล ขณะที่ตลาดจีนและฮ่องกงกลับเดินหน้าขาขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยมีหุ้นเทคโนโลยีเป็นตัวนำ
ดัชนี CN50 ปรับขึ้นใน 10 จาก 11 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ CSI 300 ปรับขึ้นใน 9 จาก 10 สัปดาห์ โดยมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในตลาด A-share หุ้น Cambricon มีมูลค่าตลาดแซงหน้า Kweichow Moutai ชั่วคราว SMIC ทำจุดสูงสุดใหม่ และ Industrial Fulian เข้าสู่ “Trillion Club”
ตลาดหุ้นฮ่องกงก็เริ่มต้นเดือนกันยายนอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้น Alibaba, Baidu และ JD ต่างปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะ Alibaba ที่เปิดตลาดวันแรกพุ่งขึ้นกว่า 18%
คำถามสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่ว่าขาขึ้นมีอยู่จริงหรือไม่ แต่คือ “จะไปได้ไกลแค่ไหน” และ “จะเข้าร่วมอย่างไร” ในภาวะตลาดโลกที่ลังเล หุ้นเทคจีนดูเหมือนจะกลายเป็นแนวรุกใหม่
เทรดเดอร์เริ่มตั้งคำถามว่า CN50 และ HK50 จะเป็น “ทางเลือก Nasdaq ที่คุ้มค่า” หรือไม่ และราคาที่พุ่งขึ้นสะท้อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจริงหรือเป็นเพียงความคาดหวังที่เกินจริง
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ดัชนีชิปของตลาด STAR (A-share) พุ่งขึ้นกว่า 40% จาก 58 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ มีถึง 40 บริษัทที่รายงานกำไรเพิ่มขึ้น และ 17 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน การปรับขึ้นครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์เดียว แต่เป็นผลจากหลายปัจจัยที่มาบรรจบกัน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญ โดยการเปิดตัว DeepSeek-V3.1 ได้เสริมความมั่นใจของตลาดในระบบ AI ของจีน ด้วยความแม่นยำระดับ FP8 ที่สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมชิปในประเทศ ทำให้เกิดความคาดหวังต่อการทดแทนเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยี AI chips, CPO, PCB และระบบระบายความร้อนแบบของเหลว กำลังร้อนแรง โดยโมเมนตัมได้ขยายจากจุดเดี่ยวไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้น ทั้งด้านคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และการสื่อสาร ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างเป็นระบบ
สัญญาณจากภาครัฐก็ชัดเจนเช่นกัน โดยคณะรัฐมนตรีจีนได้ออก “แผนปฏิบัติการเพื่อผลักดันการใช้งาน AI+” ตั้งเป้าให้มีการใช้งาน AI เกิน 90% ภายในปี 2030 พร้อมสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และตลาดทุน ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เทคโนโลยีจึงไม่ใช่แค่เทรนด์ตลาด แต่กลายเป็นธีมระยะยาวที่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากสถาบันและเงินทุน
ในระดับหุ้น รายงานผลประกอบการสะท้อนตรรกะนี้อย่างชัดเจน:
Cambricon กลายเป็นหุ้นเป้าหมายใหม่ โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเกือบ 94% และรายได้ครึ่งปีแรกของปี 2025 เพิ่มขึ้นถึง 43 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้กลายเป็นหุ้นขวัญใจของตลาด การเปลี่ยนผ่านจากผู้นำเก่าสู่ดาวรุ่งใหม่ช่วยเพิ่มความลึกให้กับขาขึ้นรอบนี้
นอกเหนือจากปัจจัยรายบริษัทแล้ว สภาพแวดล้อมภายนอกที่ผ่อนคลายก็ช่วยหนุนขาขึ้นนี้เช่นกัน
การเติบโตทั่วโลกยังคงซบเซา โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่า GDP โลกในปี 2025 จะอยู่ที่ 2.3% ซึ่งเป็นหนึ่งในระดับต่ำสุดในรอบสองทศวรรษ (ยกเว้นช่วงวิกฤต) ขณะที่จีนยังคงเป้าหมายการเติบโตที่ประมาณ 4.5% ความคาดการณ์ด้านมหภาคและนโยบายที่ชัดเจนช่วยเสริมจุด anchor ด้านการกำหนดราคาหุ้นเทคโนโลยี
เมื่อธีมเทคโนโลยีได้รับความสนใจมากขึ้น วอลล์สตรีทก็เริ่มมองโครงสร้างตลาดจีนผ่านกลุ่ม “Prominent 10” ซึ่งต่างจากกลุ่ม “Magnificent 7” ของสหรัฐฯ โดย Prominent 10 ครอบคลุมอีคอมเมิร์ซ คอนเทนต์ สุขภาพ สมาร์ทโฟน และรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) รวมกันคิดเป็นเพียง 17% ของมูลค่าตลาดรวมของจีน โครงสร้างที่หลากหลายนี้เปิดโอกาสให้เกิดการหมุนเวียนระหว่าง “เทคโนโลยี – การบริโภค – การผลิต” ซึ่งสร้างโอกาสทำกำไร (alpha) ที่หลากหลายมากกว่าการเน้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
โดยรวมแล้ว การมอง CN50 และ HK50 เป็นเพียง “ตัวแทน Nasdaq” ยังไม่ครบถ้วน เพราะ Nasdaq แสดงถึง “แพลตฟอร์มทั่วไปและผลลัพธ์ของระบบนิเวศ” ขณะที่ตรรกะของหุ้นเทคจีนและฮ่องกงอยู่ที่แรงหนุนจากนโยบาย การใช้งานจริง และการทดแทนในประเทศ
ในระยะสั้น ด้วยแรงหนุนจากนโยบายและอุตสาหกรรม ดัชนีที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อ แต่ด้วยมูลค่าหุ้นที่สูง ความผันผวนก็ย่อมมากขึ้น เทรดเดอร์ควรจับตา:
สุดท้าย สิ่งที่ตลาดต้องการเห็นคือการเปลี่ยนจาก “นวัตกรรม” สู่ “กำไรและกระแสเงินสด”
เนื้อหาที่ให้ไว้ในที่นี้ไม่ได้จัดทำขึ้นตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความเป็นอิสระของการวิจัยการลงทุน และด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นการสื่อสารทางการตลาด แม้ว่าจะไม่อยู่ภายใต้ข้อห้ามใดๆ ในการจัดการก่อนการเผยแพร่การวิจัยการลงทุน แต่เราจะไม่แสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ก่อนที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าของเรา